ขั้นตอนในการดำเนินการวิจัย
- กำหนดปัญหาที่จะดำเนินการวิจัย
- กำหนดวัตถุประสงค์การวิจัย
- ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
( ทฤษฎี เอกสาร งานวิจัย
)
- กำหนดกรอบแนวคิดและตั้งสมมติฐาน
นิยามศัพท์
- กำหนดแบบการวิจัย
- กำหนดประชากรและวิธีการสุ่มตัวอย่าง
- สร้างเครื่องมือและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ
- การรวมรวมข้อมูล
( แหล่งปฐมภูมิ,
แหล่งทุติยภูมิ)
- การวิเคราะห์ข้อมูล
- การนำเสนอผล ( การเสนอรายงานการวิจัย)
- กำหนดปัญหาที่จะดำเนินการวิจัย
เป็นการกำหนดปัญหาของการวิจัย
และเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในการวิจัยและในการเลือกปัญหาในการวิจัยต้องพิจารณาจากความรู้
ทัศนคติ ความสามารถของผู้วิจัย แหล่งความรู้ที่จะเป็นส่วนเสริมให้งานวิจัยสำเร็จ
ประชากรและวิธีการสุ่มตัวอย่างการรวบรวมข้อมูล รวมทั้งเงินทุน
เวลาที่จะทำให้งานวิจัยสำเร็จ ซึ่งมีข้อควรพิจารณาในการเลือกปัญหาคือ
-
ต้องเป็นปัญหาที่มีความสำคัญ
-
สามารถแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่มีเหตุผล
-
มีข้อมูลที่เที่ยงตรงและเชื่อถือสนับสนุน
-
เป็นปัญหาที่แสดงถึงการริเริ่ม
ซึ่งการกำหนดปัญหาดังกล่าวจะเป็นกรอบในการช่วยชี้แนวทางให้ผู้วิจัยกำหนดวัตถุประสงค์
-
เป็นกรอบในการศึกษาค้นคว้าทฤษฎี
งานวิจัย
-
เป็นแนวทางกำหนดตัวแปรและสมมุติฐาน
ช่วยกำหนดรูปแบบและวิธีดำเนินการวิจัย
กำหนดวัตถุประสงค์การวิจัย
การกำหนดวัตถุประสงค์ในการวิจัย
(Statement
of research objectives) เมื่อผู้วิจัยตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำการวิจัยแล้ว ผู้วิจัยต้องกำหนดข้อความที่เป็นปัญหาและวัตถุประสงค์ในการวิจัยให้ชัดเจน การกำหนดวัตถุประสงค์ในการวิจัยเป็นการค้นหาคำตอบที่ต้องการจากงานวิจัย วิธีการกำหนดวัตถุประสงค์ที่นิยมใช้ที่สุดคือการตั้งสมมติฐานในการวิจัย
ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง (
ทฤษฎี เอกสาร งานวิจัย) มีจุดมุ่งหมายเพื่อ
- มุ่งแสวงหาพื้นฐานทางทฤษฎีและแนวคิดต่างๆ
- มุ่งแสวงหาสถานภาพทางการวิจัย (อะไร เมื่อไร
ที่ไหน ใคร อย่างไร)
- มุ่งวางแนวทางการวิจัยที่เหมาะสม
(กำหนดกรอบแนวคิด สมมติฐานการวิจัย)
โดยจะศึกษาจาก
การประมวลเอกสารที่เกี่ยวข้อง การตรวจสอบเอกสาร การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
วรรณคดีที่เกี่ยวข้อง ทฤษฎี เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการ
ประมวลเอกสารที่เกี่ยวมีประโยชน์เพื่อ
-
ทำให้ทราบว่าการวิจัยที่ใกล้เคียงกับการวัยของตนนั้นนักวิจัยคนอื่นได้จัดการแก้ปัญหาของเขาอย่างไร
-
ทำให้นักวิจัยได้เรียนรู้การแก้ปัญหาต่างๆ
ซึ่งจะเป็นแนวทางแก้ปัญหาที่ตนอาจประสบต่อไป
-
ทำให้นักวิจัยทราบถึงแหล่งข้อมูลต่างๆ
ที่ไม่เคยทราบมาก่อน
-
ช่วยให้นักวิจัยมองเห็นการวิจัยของตนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการวิจัยอื่นๆ
อย่างไร
-
ช่วยให้ผู้วิจัยมีความคิดใหม่ๆ
และวิธีการใหม่ๆ ในการทำวิจัย
-
ช่วยให้นักวิจัยประเมินความพยายามของตนโดยเปรียบเทียบกับความพยายามของผู้อื่นในเรื่องที่ใกล้เคียงกัน
-
กำหนดกรอบแนวคิดและตั้งสมมติฐาน
นิยามศัพท์
กรอบแนวคิดในการวิจัย
(Conceptual
framework )
หมายถึง
แนวคิดของผู้วิจัยที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นและตัวแปร ตาม
ที่ใช้ศึกษาในการวิจัยครั้งนั้น ๆ โดยมีที่มาจากการทบทวนเอกสารวรรณกรรม
แนวคิดทฤษฎี ตลอดจนผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
แล้วนำมาเขียนเป็นแผนภาพเชื่อมโยงเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง
ตัวแปรที่ศึกษาในงานวิจัย ประโยชน์ของกรอบความคิดในการวิจัย
1. ช่วยชี้ให้เห็นทิศทางของการวิจัยและประเภทของตัวแปรต้นตัวแปรตาม
2. ช่วยชี้ความสัมพันธ์ของตัวแปรต้นและตัวแปรตาม
3. บอกแนวทางในการออกแบบการวิจัย
4. บอกแนวทางการกำหนดวัตถุประสงค์และสมมติฐานการวิจัย
5. บอกแนวทางการเลือกใช้เครื่องมือในการวิจัย
6. บอกแนวทางการเลือกใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล
7. บอกกรอบการแปรผลและอภิปรายผลการวิจัย
การกำหนดสมมุติฐาน
หมายถึง การเขียนข้อความที่เป็นข้อคาดหวังเกี่ยวกับความ แตกต่างที่อาจเป็นไปได้
ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ซึ่งสมมุติฐานนั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นจริงเสมอไป
คำนิยามศัพท์
หลักการให้คำนิยามตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยทุกตัวเป็นการให้คำนิยามเชิงปฏิบัติการ
ที่ใช้ในการวิจัยเรื่องนั้น ๆ
ทั้งนี้เนื่องจากคำศัพท์บางคำมีความหมายได้หลายคำจะให้เฉพาะความหมายที่ใช้
ในการวิจัยครั้งนี้เท่านั้น ความหมายที่ให้จะเป็นความหมายเชิงปฏิบัติการ
เป็นคำจำกัดความที่ให้ไว้เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจตรงกันกับผู้วิจัย
การให้ความหมายต้องทำอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ค้านกับแนวคิดทฤษฎี
และมีความหมายที่แน่นอนชัดเจน วัดได้เป็นอย่าเดียวกันไม่ว่าใครวัด
การให้คำนิยามศัพท์ มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ
1. เพื่อให้เกิดความคงที่ของตัวแปรที่ศึกษา ตลอดระยะเวลาของการวิจัย
2. เพื่อนำไปสู่การสร้างเครื่องมือวัดและวิธีการวัดตัวแปรนั้น ๆ
ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
กำหนดแบบการวิจัย
ลักษณะของแบบการวิจัย
แบบการวิจัยที่มีการทดลอง
การออกแบบเป็นการกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการทดลองที่จำเป็นดังนี้
-
การกำหนดกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม
-
กำหนดตัวแปรในการทดลอง
-
เลือกแบบแผนแบบการทดลอง
-
สร้างเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลอง
-
ดำเนินการทดลองตามแผนแบบ
แบบการวิจัยเชิงสำรวจ
เป็น
การวิจัยที่ไม่มีการสร้างสถานการณ์เชื่อมโยงใด ๆ
กับข้อมูลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเป็นการค้นหาความจริงตามสภาพการณ์ปัจจุบัน
ที่ปรากฏอยู่หรือให้เห็นว่ามีข้อเท็จจริง
อย่างไรที่ปรากฏอยู่มีความสัมพันธ์กันอย่างไร
โดยไม่มีการจัดกระทำเพื่อควบคุมตัวแปรใด ๆ รูปแบบการวิจัยแบบสำรวจจำแนกได้ดังนี้
การสำรวจเชิงบรรยาย การสำรวจเชิงเปรียบเทียบ การสำรวจเชิงสหสัมพันธ์
การสำรวจเชิงสาเหตุ
การออกแบบการวิจัยในการวิจัยเชิงสำรวจที่สำคัญคือ
-
ออกแบบการเลือกตัวอย่าง
-
ออกแบบการวัดค่าตัวแปร
-
ออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูล
แบบการวิจัยเชิงพัฒนา
เป็นการวิจัยที่มุ่งเน้นที่จะนำผลการวิจัยมาเพื่อปรับปรุง
เปลี่ยนแปลง เพิ่ม
คุณภาพ
ประสิทธิภาพ การทำงานปกติในองค์กรหรือหน่วยงานต่าง ๆ โดยอาศัยยุทธศาสตร์
วิธีการหรือเทคนิคต่าง ๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะธรรมชาติของงานหรือหน่วยงานนั้น
ๆ
แบบการวิจัยเชิงประเมิน
( Evaluation
Research )
การวิจัยเชิงประเมินผล ( Evaluation
Research ) เป็นรูปแบบการวิจัยชนิดหนึ่ง เหมือนการวิจัยเชิงสำรวจ
แต่การวิจัยเชิงประเมินผล เป็นวิธีการวิจัยที่มุ่งหาความรู้+ความจริงมาหาคุณค่า
ของสิ่งที่วิจัยนั้นเพื่อให้ผู้บริหารคิดสนใจว่าความยุติโครงการหรือให้ดำเนินการต่อไป
ในการวิจัยเชิงประเมินผลนั้น สามารถดำเนินการประเมินได้ใน 3 ระดับ
1. ก่อนการดำเนินงาน
2 . ระหว่างดำเนินงาน
3. สิ้นสุดโครงการ
กระบวนการและขั้นตอนการทำวิจัยเชิงประเมินผล
ขั้นที่ 1
เลือกโครงการและตั้งหัวข้อวิจัย
ขั้นที่ 2
ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
ขั้นที่ 3 กำหนดปัญหา
เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการประเมิน
ขั้นที่ 4 ออกแบบวิจัย
วางแผนวิจัยประเมิน
ขั้นที่ 5 เก็บรวบรวมข้อมูล
ขั้นที่ 6
วิเคราะห์ข้อมูลและแปรผล
ขั้นที่ 7
การเสนอรายงานวิจัยเชิงประเมินผล
การนำทฤษฎีมากำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัยเชิงประเมินผล
ในการวิจัยเชิงประเมินโครงการนั้น ทฤษฎีที่นิยม นำมาใช้มากที่สุด คือทฤษฎี CIPP Model ของ Stufflebeanc หรือ CIPPO Model ของ นายธเนศ ต่วนชะเอม
C I P P O
C
= Contexts บริบท ได้แก่ สภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม
ปัญหาของพื้นที่ ความต้องการและความพร้อมของประชาชน
I
= Input คือ โครงการ นั้นคือ
เมื่อประเมินบริบทว่ามีความพร้อมและต้องการแล้วจึงนำโครงการสู่ชุมชน
แล้วจึงประเมินโครงการนั้นว่ามีความเป็นได้มากน้อยเพียงใด เป้าหมายเป็นอย่างไร
P=
Process คือกระบวนการในการดำเนินงานตามโครงการที่กำหนดไว้ นั้นคือ
นัก วิจัยเชิงประเมินให้ทำการประเมินในหัวข้อต่อไปนี้ หลักการ/การวางแผน ,กิจกรรมและวิธีการขั้นตอนการดำเนินงาน, การร่วมมือ,
วัสดุอุปกรณ์, งบประมาณ
P=
Product คือผลผลิต เช่น จำนวนคน, เป้าหมายที่กำหนดไว้,
ผลที่ได้รับ, มีนวัตกรรมใหม่ ๆ
O=
Outcome คือ ผลลัพธ์ที่ตามมาจากโครงการนั้น เช่น ความสบายใจ,
ความคุ้มค่า, การขยายเครือข่าย, ผลประโยชน์ที่ตามมาในภายหลัง ซึ่งอาจมีทั้งผลบวกและผลลบ
กำหนดประชากรและวิธีการสุ่มตัวอย่าง
ประชากร
ในการวิจัยหมายถึง จำนวนทั้งหมดของกลุ่มบุคคล สัตว์ สิ่งต่างๆ
ที่อยู่ในขอบข่ายการวิจัย โดยบ่างออกเป็น 2 ประเภท
-
ประชากรที่มีจำนวนจำกัด
-
ประชากรที่มีจำนวนไม่จำกัด
ตัวอย่าง
หมายถึง ประชากรบางส่วนหรือทั้งหมดที่ใช้เป็นตัวแทนในการศึกษาวิจัย
วิธีการเลือกตัวอย่างแบ่งออกเป็น 2 วิธี
1. การเลือกตัวอย่างแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น
เป็นการเลือกตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ สะดวก ปลอดภัยเช่น
- การเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง
- การเลือกตัวอย่างแบบกำหนดโควตา
- การเลือกตัวอย่างตามโอกาส
- การเลือกตัวอย่างตามสะดวก
การที่เลือกตัวอย่างโดยไม่ทราบค่าความน่าจะเป็นนี้ไม่เหมาะสมที่จะใช้การคำนวณค่าสถิติอนุมาน
ในการวิเคราะห์ข้อมูล เพราะไม่ทราบค่า Sampling error จึงเหมาะสมที่จะใช้กับสถิติบรรยายต่าง
ๆ
2. การเลือกตัวอย่างแบบทราบค่าความน่าจะเป็นการเลือกโดยการสุ่ม
(Random)
ที่แต่ละหน่วยของประชากรมีโอกาสได้รับการเลือกตัวอย่างเท่าเทียมกัน
การเลือกตัวอย่างแบบนี้แบ่งออกเป็น 5 วิธี คือ
- การเลือกตัวอย่างโดยการสุ่ม
เป็นวิธีการที่ง่าย ๆ แต่ประชากรต้องไม่ใหญ่มากนัก
- การเลือกตัวอย่างเป็นระบบ เป็นวิธีใช้ได้ดีในกรณีที่ประชากรมีขนาดใหญ่ที่มีการจัดระบบอย่างใดอย่างหนึ่ง
- การเลือกตัวอย่างแบบการจัดชั้น
เป็นวิธีการเลือกตัวอย่างที่มีการจัดขั้นก่อน เพื่อให้ตัวอย่างที่ได้มาจากทุกชั้น
- การเลือกตัวอย่างแบบกลุ่ม
เป็นวิธีการเลือกตัวอย่างที่มีการแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่ม เช่นเดียวกับการจัดชั้นแต่ลักษณะจะไม่เหมือนกัน
โดยการแบ่งแบบนี้ลักษณะภายในของประชากรแต่ละกลุ่มจะมีความแตกต่างกัน
และแต่ละกลุ่มจะมีความคล้ายคลึงกัน แล้วจึงเลือกโดยการสุ่มจากกลุ่มเล็ก ๆ
โดยใช้ทุกหน่วยของกลุ่มย่อยมาเป็นตัวอย่าง
- การเลือกตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน จะใช้เมื่อประชากรที่ศึกษามีขนาดใหญ่
ประกอบด้วยกลุ่มย่อย ๆ โดยในกลุ่มย่อย ๆ ประกอบด้วยหน่วยต่าง ๆ
ที่มีลักษณะตามที่สนใจคล้าย ๆ กัน
สร้างเครื่องมือและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ
การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือการวิจัย
ความเที่ยงตรง
(Validity)
หมายถึง ความสามารถวัดได้ตรงกับสิ่งที่ต้องการจะวัด และ
วัดได้ครอบคลุมพฤติกรรมลักษณะที่ต้องการการกำหนดความเที่ยงตรงตามเนื้อหา
นั้นจะต้องกำหนดนิยามตามทฤษฎีและแปลงเป็นนิยามเชิงปฏิบัติการ เพื่อหาตัวชี้วัด
ความเชื่อมั่น
(Reliability)
หมายถึง ความคงที่ในการวัดเมื่อวัดซ้ำ ๆ
กันหลายครั้งจะให้ค่าเหมือนเดิมหรือใกล้เคียงกันการหาค่าความเชื่อมั่นมีหลายวิธีการดังนี้
1. วิธีการสอบซ้ำ
2. วิธีใช้ฟอร์มคู่ขนาน
3. วิธีหาความสอดคล้องภายใน
3.1 วิธีแบ่งครึ่ง
3.2 วิธีของคูเดอร์ ริชาร์ดสัน
3.3 วิธีสัมประสิทธิ์แอลฟ่า
อำนาจจำแนก
(Discrimination)
เครื่องมือการวิจัยที่ดีต้องสามารถจำแนกสิ่งต่าง ๆ
ออกตามคุณลักษณะที่ต้องได้
ประสิทธิภาพ
(Effciency)
เครื่องมือการวิจัยที่มีประสิทธิภาพ
หมายถึงมีประสิทธิภาพในการใช้ได้ง่ายสะดวก รวดเร็ว
และประหยัดค่าใช้จ่ายการสร้างเครื่องมือให้มีประสิทธิภาพในการใช้งานจึงต้องพิจารณากลุ่มเป้าหมายว่าจะใช้เครื่องมือกับกลุ่มใด
ธรรมชาติหรือลักษณะพื้นฐานของกลุ่มเป้าหมายเป็นเช่นไร
การรวมรวมข้อมูล
( แหล่งปฐมภูมิ,
แหล่งทุติยภูมิ)
ในการดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้วิจัยจะต้องทราบว่าในการทำการวิจัยนั้นสามารถจะรวบรวมข้อมูลจากกลุ่ม ประชากรทั้งหมด หรือ สุ่มตัวอย่าง ซึ่งในการสุ่มตัวอย่างนั้นก็ต้องทราบว่าจะต้องสุ่มตัวอย่างโดยวิธีการใดที่จะให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนที่ดีของ กลุ่มประชากร ข้อมูลที่ผู้วิจัยจะทำการรวบรวมนั้นมาจากไหน ปฐมภูมิ (Primary
Source)ทุติยภูมิ (Secondary Source)
ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary
data)
เป็นข้อมูลสถิติซึ่งเก็บรวบรวมมาก่อนแล้วเพื่อจุดมุ่งหมายอื่นซึ่งอาจจะเอามาใช้ประกอบในงานวิจัยได้ (Churchill.
1996 : 54) หรือหมายถึงข้อมูลที่ได้นัดพิมพ์มาแล้วเพื่อจุดมุ่งหมายอื่นไม่ใช่เพื่อจุดมุ่งหมายในการศึกษาปัจจุบัน
(Kinnear and Tailor. 1996 : 856) ข้อมูลทุติยภูมิอาจจะอยู่ในระบบข้อมูลภายในธุรกิจ เช่น รายงานสำรวจการขายจากใบสั่งซื้อของลูกค้า อาจจะต้องอาศัยจากภายนอก
เช่น ห้องสมุดธุรกิจ ข้อมูลสถิติของรัฐบาล
รายงานจากสมาคมการค้า ฯลฯ
ข้อมูลปฐมภูมิ
(Primary
data)
เป็นข้อมูลที่เก็บรวบรวมจากแหล่งข้อมูลเบื้องต้นซึ่งอาจจะเป็นข้อมูลที่เกิดจากคำถามในการวิจัย (Churchill.
1996 : 55) วิธีการในการวบรวมข้อมูลปฐมภูมิจะเกี่ยวข้องกับคำถามต่อไปนี้
(1) ควรรวบรวมโดยการสังเกตหรือการออกแบบแบบสอบถาม
(2) ควรจะมีวิธีการสังเกตอย่างไร
(3) การสำรวจด้วยตัวเองหรือใช้เครื่อง
อิเล็กทรอนิกส์
(4) คำถามควรจะมีการบริหารโดยบุคคล
โทรศัพท์ หรือใช้จดหมาย
การวิเคราะห์ข้อมูลการออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูล
(Analysis
Design)
การวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis of
data) เป็นการจำแนกข้อมูลออกเป็นส่วนย่อย ๆ เพื่อจัดข้อมูลต่าง ๆ
ให้เป็นระบบหมวดหมู่ แล้วใช้ค่าสถิติช่วยในการสรุปลักษณะของข้อมูลนั้น ๆ
ตามลักษณะของตัวแปรที่ศึกษา ในกรณีที่เป็นข้อมูลเชิงปริมาณ จะ
แตกต่างกับการวิเคราะห์ข้อมูลในงานวิจัยเชิงคุณภาพที่ใช้การวิเคราะห์โดยการ
จำแนกชนิดและการเปรียบเทียบลักษณะของข้อมูลเพื่อหาความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกัน
ของปรากฏการณ์ต่างๆ โดยอาศัยกรอบแนวคิดและทฤษฎีช่วยในการสร้างข้อสรุปนั้น การเลือกใช้สถิติจะพิจารณาจาก
1. วัตถุประสงค์การวิจัย
(เพื่อการบรรยาย, เพื่อเปรียบเทียบ, เพื่อหาความสัมพันธ์, เพื่อสร้างตัวแบบ)
2. หน่วยการวิเคราะห์ (เอกบุคคล,
แบบกลุ่ม)
3. ระดับการวัดค่าตัวแปร (ระดับกลุ่ม, ระดับอันดับ, ระดับวง, ระดับอัตราส่วน)
4. การเลือกตัวอย่าง (ใช้การสุ่ม, ไม่มีการสุ่ม)
ดังนั้นเทคนิคการวิเคราะห์และแปลผลขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ดังนี้
1.
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ
ใช้วิธีการทางสถิติเป็นวิธีการในการวิเคราะห์ ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
a. สถิติบรรยาย (Descriptive Statistics)การวิจัยที่มุ่งหมายเพื่อการบรรยายข้อมูลตัวอย่างหรือประชากรโดยไม่อ้างอิงไปถึงประชากรใด
สามารถเลือกใช้สถิติบรรยายได้ดังนี้
1. การแจกแจงความถี่
2. การจัดตำแหน่งเปรียบเทียบ (Proportion, Rate, Ratio, Percentage)
3. การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง (Mean, Median, Mode)
4. การวัดการกระจาย (S.D., Q.D., C.V., Range)
5. การวัดความสัมพันธ์ (rxy , rt , rbis)
6. การวัดการถดถอย
b. สถิติอนุมาน (Inferential Statistics) หรือสถิติวิเคราะห์ซึ่งแยกย่อยออกเป็น 2 กลุ่มคือ
1.
Non-Parametric Statistics
2.
Parametric Statistics
2. การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้เทคนิควิธีการที่เรียกว่า การจำแนกกลุ่มข้อมูลเชิงคุณภาพ
การวางแผนการวิเคราะห์ข้อมูล
ในขั้นตอนของการวิเคราะห์ข้อมูลนั้นผู้วิจัยควรจะมีการวางแผนก่อนโดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของการวิจัยว่า
ในแต่ละวัตถุประสงค์ของการวิจัยจะทำการวิเคราะห์อย่างไร
ควรจะจัดกระทำข้อมูลอย่างไร และใช้ค่าสถิติใดช่วยในการหาคำตอบตามวัตถุประสงค์นั้น
การนำเสนอผล (
การเสนอรายงานการวิจัย)
บทที่ 1 บทนำ
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
วัตถุประสงค์การวิจัย
ขอบเขตการวิจัย
ข้อตกลงเบื้องต้น
ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย
บทที่ 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
ทฤษฎี
แนวคิด และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
กรอบแนวคิด
สมมุติฐานการวิจัย
นิยามศัพท์เฉพาะ
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย
รูปแบบการวิจัย
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
การเก็บรวบรวมข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล (
เสนอตามวัตถุประสงค์และสมมุติฐาน)
บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล ข้อเสนอแนะ
สรุปผลการวิจัย
อภิปรายผล
ข้อเสนอแนะ( ต่อหน่วยงาน เพื่อการวิจัยครั้งต่อไป)
การสร้างเครื่องมือในการวิจัย
รวมทั้งข้อดี และข้อเสีย ของเครื่องมือต่างๆ ดังนี้
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
การวิจัยเชิงปริมาณ
(quantitative research) : แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกต แบบทดสอบ
มาตรวัด แบบบันทึก แบบรายการประเด็นที่ใช้ในการสนทนากลุ่ม
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1. แบบสอบถาม
(questionnaire): ข้อเท็จจริง ความรู้สึกความคิดเห็น
-mailed
questionnaire
- internet
questionnaire
ข้อดี ประหยัดเวลาและงบประมาณ
ผู้ตอบมีอิสระในการตอบ
ข้อจำกัด
ผู้ตอบไม่ให้ความร่วมมือ
ไม่จริงใจในการตอบ
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
2. แบบสัมภาษณ์
(interviews)
-
structured/unstructured interviews
- group/individual
interviews
- In-depth or
intensive interviews
ข้อดี ใช้ได้กับทุกคน
อธิบายคาถาม สอบถามรายละเอียดเจาะลึก
ข้อจำกัด เสียเวลาและค่าใช้จ่ายสูง
คุณภาพข้อมูลขึ้นกับความสามารถของผู้สัมภาษณ์
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
3. แบบสังเกต
(observation)
- เหมาะกับข้อมูลที่เป็นสิ่งมีชีวิต คน/สัตว์/ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ
- known/unknown
observation
- participant/non-participant
observation
- direct/indirect
observation
ข้อดี ข้อมูลปฐมภูมิ
มีรายละเอียดครบ ไม่มีปัญหาเรื่องปกปิดข้อมูล
ข้อจำกัด เสียเวลา/ค่าใช้จ่ายมาก ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวสูงของนักวิจัย การตรวจสอบความตรงของข้อมูลทาได้ยาก
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
4. แบบสอบ
(tests)
- เหมาะกับการวัดคุณลักษณะแฝง เช่น ความถนัด เชาวน์ปัญญา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
-individual/group
tests
-oral/written
tests
ข้อดี สามารถวัดคุณลักษณะแฝงได้
วัดได้อย่างมีคุณภาพ
ข้อจำกัด
วิธีสร้างค่อนข้างยุ่งยาก
ผู้สร้างต้องมีความรู้
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
5. แบบวัดหรือมาตรวัด
(scales)
- เหมาะกับการวัดคุณลักษณะทางจิตวิทยา เช่น เจตคติ บุคลิกภาพ ความสนใจ ความเชื่อ
ค่านิยม เป็นต้น
ข้อดี การเก็บข้อมูลไม่เข้มงวดเหมือนแบบสอบ
สร้างง่ายกว่าข้อสอบ
ข้อจำกัด ต้องรู้ทฤษฎีทางด้านจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับมาตรวัดที่จะสร้าง
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
6.
แบบบันทึกข้อมูลจากเอกสาร/หลักฐาน
- ใช้ในการวิจัยประวัติศาสตร์ การวิจัยเอกสาร
- เหมาะกับข้อมูลที่มีการบันทึกไว้เป็นเอกสาร / มีหลักฐาน
ข้อดี
ไม่มีปัญหาเรื่องความร่วมมือ เสียค่าใช้จ่ายน้อย
ข้อจากัด
ต้องใช้ความสามารถในการหาความหมายข้อเท็จจริงที่แฝงในเอกสาร ข้อมูลไม่เป็นปัจจุบัน
ข้อมูลขาดความตรง
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
7. แบบรายการประเด็นการสนทนากลุ่ม
(focus group discussion)
- ใช้ในการวิจัยสังคมศาสตร์และทางธุรกิจ
- เหมาะในการหาข้อสรุปความคิดเห็นของผู้รู้
ข้อดี
ประหยัดเวลาและงบประมาณ
ข้อจากัด
ทาได้บางเรื่อง บางเรื่องซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของ สังคมอาจจะไม่ได้รับการเปิดเผย
รูปแบบคาถาม(types of
question)
1. บังคับเลือก
1.1
Dichotomous question (ใช่/ไม่ใช่ หญิง/ชาย มี/ไม่มีประสบการณ์)
1.2
Measurement scale
- nominal (อาชีพ ภูมิลาเนา สาขา ฯลฯ)
- ordinal (เรียงอาชีพที่อยากทามากที่สุดจนถึงน้อยที่สุดฯลฯ)
- interval
(rating scale Guttmanscale)
2. ปลายเปิด
เทคนิคการเลือกเครื่องมือในการวิจัยตัวแปรหรือคุณลักษณะที่ต้องการวัด
- cognitive
domain: ความรู้ ความสามารถทางสติปัญญา: แบบสอบ
แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกต
- affective
domain: ความรู้สึก ความคิดเห็น: แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์
แบบสังเกต
- psychomotor
domain: ทักษะ ความสามารถในการปฏิบัติ: แบบสังเกต
แบบสอบ แบบสัมภาษณ์ แบบประเมิน
ลักษณะของกลุ่มเป้าหมาย: จานวน ระดับการศึกษา ช่วงอายุ ทรัพยากร: กาลังคน งบประมาณ
ระยะเวลา
ลักษณะของเครื่องมือวิจัยที่ดี
1.คาถามสั้น กระชับ ง่ายและได้ใจความ
2.หนึ่งข้อคาถามควรถามประเด็นเดียว
3.คาถามต้องยั่วยุให้อยากตอบ
4.ต้องไม่เป็นคาถามนาหรือชี้แนะคาตอบ
5.มีความเป็นปรนัยสูง
6.คาถามต้องคานึงถึงวัย ระดับการศึกษา
ความสามารถ ประสบการณ์ของผู้ตอบ
7.มีการเรียงลาดับข้อคาถามให้เหมาะสม
8.เครื่องมือต้องไม่ยาวเกินไป
9.มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย
คาชี้แจง วิธีในการตอบและมีตัวอย่างการตอบ
10.มีการทดลองใช้ ปรับปรุงข้อบกพร่อง
11.มีการหาคุณภาพของแบบสอบถามด้านความเที่ยงและความตรง
เทคนิคการสร้างเครื่องมือในการวิจัย
1.การตอบคาถามวิจัย ต้องใช้สถิติตัวใด
2.เครื่องมือที่จะสร้าง
- มีเครื่องมืออยู่แล้ว
- ปรับปรุงจากเครื่องมือที่มีอยู่แล้ว
- รวบรวมมาจากหลายแหล่ง
- สร้างใหม่
3. การควบคุมการเดา
4. ตัวแปรไม่ชัด ต้องใช้
qualitative นำ
การสร้างเครื่องมือในการวิจัย
1.กำหนดขอบเขตและจุดมุ่งหมายของการสร้าง: วัดอะไร วัดใคร
ลักษณะของผู้ถูกวัดเป็นอย่างไร
2.ระบุเนื้อหา/ตัวแปรที่ต้องการวัด
3.ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรที่ต้องการจะวัด
4.นิยามปฏิบัติการ
(operational definition) ตัวแปรที่ต้องการวัด
5.ในกรณีที่ไม่สามารถนิยามตัวแปรให้ชัดเจน ให้เก็บข้อมูลภาคสนาม เพื่อนามาสร้างข้อคาถาม
เช่น การรักความเป็นไทย
6.สร้างตารางโครงสร้างเนื้อหา แจกแจงเนื้อหาที่จะวัดตามนิยามปฏิบัติการของตัวแปรที่จะวัด
7.เลือกชนิดและรูปแบบคาถาม: เติมคาตอบ เลือกตอบ
rating scale (สถิติที่ใช้ในการวิจัย)
8. สร้างข้อคาถาม ให้ครอบคลุมเนื้อหาตามตารางโครงสร้างการนิยามตัวแปร
(Definition of Variable)
การนิยามเชิงทฤษฎี เป็นการอธิบายความหมายของตัวแปรตาม
หลักการหรือทฤษฎีมีลักษณะที่คลุมเครือ กว้าง ไม่ชัดเจน แต่ละคนอาจเข้าใจไม่ตรงกัน(subjective)ซึ่งอยู่ในรูปนามธรรม ไม่สามารถที่จะวัดได้ชัดเจน หรือสื่อความหมายได้ตรงกันได้
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงความรู้ความสามารถที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนการสอนในชั้นเรียน
ความสุขในครอบครัว หมายถึง การอยู่ร่วมกันอย่างสงบ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เป็นต้น
การนิยามตัวแปร (definition
of variable) การนิยามเชิงปฏิบัติการ เป็นการอธิบายความหมายของตัวแปรในรูปของพฤติกรรม(behavior)
หรือการกระทา (action)ที่สามารถสังเกตหรือวัดได้
ทุกคนสามารถสังเกต รับรู้ และเข้าใจได้ตรงกัน (objective) เช่น
•ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนที่ได้จากการวัดด้วยแบบสอบมาตรฐาน หรือ
GPAX หรือคะแนนที่ได้จากแบบสอบที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น เป็นต้น
ความสุขในครอบครัว หมายถึง คะแนนที่ได้จากแบบวัดความสุขในครอบครัวที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
ประกอบด้วยองค์ประกอบ
4 ด้าน ได้แก่ ด้านการให้อภัยซึ่งกันและกัน ด้านการให้เกียรติซึ่งกันและกันด้านการมีเวลาให้แก่กัน
และด้านความรับผิดชอบร่วมกัน
ตัวอย่างการนิยามตัวแปร
คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน
หมายถึง พฤติกรรมของผู้เรียน ที่โรงเรียน ผู้ปกครองและสังคมต้องการให้มีในตัวผู้เรียน
ซึ่งประกอบด้วยความซื่อสัตย์ ความมีระเบียบวินัย และความรับผิดชอบ ซึ่งวัดจาก แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
โดยมีรายละเอียดดังนี้
ความซื่อสัตย์
หมายถึง การที่ผู้เรียนไม่พูดปด ไม่ลักขโมยของผู้อื่นเวลาทาผิดแล้วยอมรับผิด มีการปฏิบัติตามสัญญาความมีระเบียบวินัย
หมายถึง การที่ผู้เรียนมีความตรงต่อเวลา ปฏิบัติตามข้อตกลงของห้องเรียน ปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงเรียนและสังคมความรับผิดชอบ
หมายถึง ความตั้งใจเรียน เอาใจใส่ในงานที่ได้รับมอบหมาย ไม่เอาเปรียบผู้อื่น